หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

8 วิธี หน้าใส




       เคล็ดลับหน้าใส ใครๆก็ต้องการทรายกันทั้งนั้น จริงมั้ยคะ? วันนี้โบว์มี 8 เคล็ดลับวิธีทำหน้าใสได้อย่างใจคิดมาฝากกันค่ะ
ข้อแรกนะคะ ถ้าเป็นคนที่ชอบแต่งหน้า เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าของเราอย่างถูกวิธี เพื่อผิวหน้าของเราจะได้สะอาด หน้าใสไร้สิวนะจ๊ะ

2. ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี เพื่อผิวสวยหน้าใส โดยเลือกสบู่ล้างหน้าให้เหมาะกับผิวของตนเองนะคะ อย่างเช่น ถ้าเป็นคนผิวมัน ก็ควรเลือกใช้สบู่แบบออยล์คอนโทรล เป็นต้นค่ะ และไม่ควรหน้าล้างเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นได้นะคะ

3. ก่อนล้างหน้าควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเป็นการเปิดรูขุมขน หลังจากนั้นใช้สบู่ล้างหน้าและล้างฟองออกด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขนค่ะ ซับหน้าด้วยผ้าขนหนูเบาๆและใช้สำลีชุบโทนเนอร์เช็ดหน้าอีกครั้งค่ะ เพื่อกระชับรูขุมขน

4. หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง ควรทาครีมบำรุงผิว เพื่อทดแทนความชุ่มชื่นที่เสียไปจากการล้างหน้า เพื่อป้องกันริ้วรอยและรอยหมองคล้ำต่างๆก่อนวัยอันควรจ๊ะ

5. หาเวลาว่าง พอกหน้าและขัดหน้าสัปดาห์ละ1ครั้งนะค่ะ เพื่อเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าที่ลึกซึ้งมากกว่าการล้างหน้าตามปกติ บำรุงผิวไปในตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นค่ะ เพื่อผิวพรรณที่สวย หน้าใสเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดีคะ

6. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าและดื่มน้ำสะอาด ให้มากๆค่ะ อย่างเช่น ผักสดและผลไม้สดค่ะ ดีต่อผิวของเรานะจ๊ะ

7. ออกกำลังเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินเพื่อช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และหน้าใสมีเลือดฝาดค่ะ

8. ยิ้มร่าเริงแจ่มใส ทำใจให้สดชื่น เพราะจิตใจมีผลควบคู่ไปกับร่างกาย ผิวพรรณและสุขภาพที่ดีนะคะ




Tips:
- สำหรับคนผิวมัน ถ้ารู้สึกว่าหน้ามันระหว่างวัน ควรใช้กระดาษซับมันแทนการล้างหน้าบ่อยๆนะคะ  เพื่อลดการผลิตน้ำมันออกมาเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของหน้ามันและสิวคะ

หน้าใสได้ โดยการงดอาหารจำพวกของมันๆจ๊ะ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว

- งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่นะจ๊ะ เพราะจะทำให้ผิวพรรณและหน้าใสๆของเรานั้นขาดความสดใส และเกิดริ้วรอยหมองคล้ำค่ะ

- อย่านอนดึก และพักผ่อนให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ เพื่อผิวสวยหน้าใส
ถ้าปฏิบัติตาม 8 เคล็ดลับหน้าใสได้แล้ว อย่าลืมยิ้มมากๆด้วยนะคะ เพราะรอยยิ้มทำให้เรามีเสน่ห์ ถ้าสาวๆหรือหนุ่มๆยิ้มวันละนิด ก็จะทำให้หน้าใสๆของเราชวนมองมากขึ้นจ๊ะ



วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อ่านหนังสืออย่างไรให้จำเเม่น!!






       เทคนิคการจำ จำแม่น จำเก่ง

1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
      2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
      3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
      4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
      5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
      6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
      7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
      8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
      ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับการอธิบายให้ตัวเองฟัง          
 ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ 

  Tips
1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ.

เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน  
ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ.  
เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม  
และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ.  
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.

2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ครับ.

เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ.  
แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว  
ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ.

3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรครับ.
อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที  
และพัก 5- 10 นาที

4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ.
สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ.
ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดีให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.

6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ.
เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1  
เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ  
อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ.  
เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง  
เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า  
where do you go .? อะไรเป็นต้น  
แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ  
ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที  
ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ

อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ.  
ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ.  
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ  
ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ.  
จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน  
จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา  
อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .  
สำคัญคือความตั้งใจนะครับ.  
ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว  
ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด  
สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง  
ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้  
โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า  
ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า  
บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น  
มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด  
เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา  
ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ.  
ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท  
เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ.  
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ

. 8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่
คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า  
กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก  
นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ  
ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้  
ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา  
เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ  
เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ  
ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร  
ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ.  
ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว  
ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง  
โดยทำดังต่อไปนี้ครับ.  
- ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ 
นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ  
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง  
จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว 
ให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที  
กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่  
คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะครับ.  
ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ   คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ.

ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่  
ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง  
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะ
เรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม  
ทักษะใน
การทำข้อสอบ มีใหม  
เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า  
ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน  
เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์  
ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ  
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่  
พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น  แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก  
อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ.  
ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด

 

ข้อมูลจาก: http://blog.eduzones.com/diaw30/22324

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับตุ๊กตาหมี



ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ ราคาแพงที่สุดในโลก
        บริษัทชไตฟ์(Steiff) ผู้ผลิต ตุ๊กตาหมี ของเยอรมัน ซึ่งรับเป็นผู้ผลิตตุ๊กตาหมีราคาแพงเพื่อการสะสมมาแล้วจำนวนมาก และเป็นผู้ที่เคยผลิต ตุ๊กตาหมี ที่แพงที่สุดมาแล้ว ในการแถลงครั้งใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เปิดเผยว่าได้ผลิต ตุ๊กตาหมีที่แพงที่สุดในโลก ผลิตด้วยทองคำออกมาอีกแล้ว คราวนี้เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 125 ปี ของการก่อตั้งบริษัท ซึ่งตุ๊กตาตัวแรกที่ชไตฟ์ผลิตนั้นไม่ใช่ตุ๊กตาหมี แต่เป็นตุ๊กตาช้างตัวเล็ก ๆ สำหรับปักเข็ม ของช่างเย็บ ที่มาจากฝีมือการเย็บของหญิงที่ป่วยเป็นอัมพาตนั่งบนรถเข็นตลอดเวลาที่ชื่อ มาร์กาเร็ต ชไตฟ์
          ตุ๊กตาหมีราคาแพงตัวนี้ ปากและจมูกของมันทำด้วยทองคำเส้น ส่วนขนเป็นด้ายทอด้วยทองคำ ดวงตาทำด้วยหินแซฟไฟร์เป็นนัยน์ตาดำ ล้อมรอบด้วยเพชรเป็นนัยน์ตาขาว
          หากใครอยากจะซื้อตุ๊กตาหมีราคาแพงที่สุดในโลกตัวนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับลูกสาวที่แสนรักละก้อ ต้องลุ้นกันมากหน่อย เพราะชไตฟ์ผลิตเพียง 125 ตัวเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ราคาแพง แต่ยังหาซื้อได้ยากอีกด้วย       ตุ๊กตาหมีตัวนี้ราคาตามป้ายเป็นเงิน 62,446 ยูโรหรือประมาณ 84,000 ดอลล่าร์ คิดเป็นเงินไทยได้ประมาณ 3 ล้านกว่าบาท เท่านั้นเอง !!!

วิธีเก็บรักษา ตุ๊กตาหมี

       ผู้ที่ชอบสะสม ตุ๊กตาหมีมักจะมี ตุ๊กตาหมีสะสมเอาไว้หลายตัว บางทีก็หมุนเวียนกันนำมาชื่นชม ตามแต่ว่าจะคิดถึงตัวไหน บางตัวก็ต้องการเก็บเอาไว้ จะได้ชื่นชมกันนาน ๆ ดิฉันมีวิธีเก็บรักษา ตุ๊กตาหมี ที่อยากจะแนะนำดังนี้ค่ะ

1.       ก่อนที่จะนำไปเก็บ แนะนำให้ห่อหรือบรรจุไว้ในถุงเสียก่อน เพื่อป้องกันฝุ่น แมลง หรือแม้กระทั่งสารเคมีที่อาจทำให้ผ้า หรือสีของขนหมีเปลี่ยนไปได้

2.      วัสดุที่ราจะนำมาห่อ หรือทำเป็นถุง ดิฉันแนะนำให้เป็นผ้าฝ้าย ไม่ควรใช้ถุงพลาสติกเด็ดขาด เหตุที่แนะนำให้เป็นผ้าฝ้ายนั้น ก็เพราะผ้าฝ้ายถ่ายเทอากาศได้ดี ไม่ทำให้อับ เพราะหากมีความชื้นอยู่ภายในจะทำให้มีกลิ่น หรือขึ้นราได้

3.        ผ้าฝ้ายที่นำมาห่อหรือเป็นถุงนั้น ควรซักเสียก่อน อย่าใช้ผ้าฝ้ายใหม่ ๆ ที่ยังไม่ได้ซักเพราะจะมีสารเคมีตกค้างอยู่ นอกจากนี้เมื่อซักด้วยน้ำสบู่ หรือผงซักฟอก ก็จะต้องล้างน้ำให้สะอาด อย่าให้คราบผงซักฟอกค้างอยู่แค่นี้แหละค่ะ เราก็สามารถเก็บ ตุ๊กตาหมีไว้ชื่นชมหลาย ๆ ปี ได้แล้ว


            เคล็ดไม่ลับการซื้อตุ๊กตาหมีให้เพื่อนสาว

การจะซื้อ ตุ๊กตาหมี เป็น ของขวัญ ให้ เพื่อนหญิง ของคุณ นับว่าเป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะจะเป็นวิธีการที่ดีในการที่จะบอกเธอว่า เธอเป็น คนพิเศษ สำหรับคุณ และอาจให้เธอเอาไว้สวมกอดยามที่เธอคิดถึงคุณ ก็น่าสนใจไม่น้อย แต่ว่า ตุ๊กตาหมี ที่มีขายกันอยู่ ก็มีมากมายหลายรูปแบบ แล้วจะเลือกอย่างไรดี ? ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดูซิคะ เผื่อจะช่วยคุณผู้ชายในการเลือก ตุ๊กตาหมี ที่ถูกใจคนรัก หรือ คนพิเศษ ของคุณได้ ส่วนคุณผู้หญิงจะลองเอาวิธีเดียวกันนี้ไปใช้บ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ

ขั้นตอนที่หนึ่ง
ก่อนอื่น ต้องแน่ใจก่อนว่า เพื่อนหญิง ของคุณชอบ ตุ๊กตาหมี ด้วยนะคะ แม้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้สึกว่า ตุ๊กตาหมี น่ารัก น่ากอด แต่บางคนอาจรู้สึกว่ามันเป็น ของเล่น สำหรับเด็กมากกว่า ตอนนี้ไม่เหมาะกับวัยของตัวเองเสียแล้ว มิฉะนั้นแล้ว แทนที่คุณจะทำให้เธอพอใจ กลับทำให้เธอผิดหวังก็ได้

ขั้นตอนที่สอง
ลองสอดส่ายดูสักนิดจะดีไหมค่ะ ว่าตอนนี้เธอสะสม ตุ๊กตาหมี แบบไหนเอาไว้บ้างแล้ว ถ้ากลัวจะลืม ก็แอบจดเอาไว้ก็ได้ค่ะ เธออาจจะชอบ ตุ๊กตาหมี แบบตัวเล็ก หรือแบบตัวใหญ่, ชอบแบบที่มีสีสัน เช่น ชมพู, ส้ม, ฟ้า หรือชอบแบบเรียบ ๆ ประเภทสีครีม สีน้ำตาลชอบตุ๊กตาหมีแต่งตัว หรือ ตุ๊กตาหมี เปล่า ๆ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้คุณพอจะรู้รสนิยมของเธอว่า ชอบ ตุ๊กตาหมี แบบไหน

ขั้นตอนที่สาม
ทีนี้ก็ลองเดินสำรวจตาม ร้านขายตุ๊กตา ซึ่งจะมีทั้ง ร้านขายของเล่น สำหรับเด็ก และ ร้านขายของขวัญ หรือกิ้ฟช้อป ตาม ห้างสรรพสินค้า แต่ยุคนี้เป็น ยุคดิจิตัล แล้ว คุณอาจประหยัดเวลาโดยการช้อปผ่าน อินเทอร์เน็ต ก็ได้ บางทีของที่คุณกำลังหาอยู่อาจได้มาโดยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

 ขั้นตอนที่สี่
ลองพิจารณาดูว่าจะมีร้านไหนที่สามารถทำ ตุ๊กตาหมี แบบมี ตัวเดียวในโลก ให้คุณได้บ้างไหม บางร้านอาจจะให้คุณสามารถเลือกสี เลือกขน เลือกขนาด และสั่งตัดเสื้อผ้า ตุ๊กตาหมี ตามที่คุณสร้างสรรค์ได้ด้วย

ขั้นตอนที่ห้า
เวลาจะเลือก ตุ๊กตาหมี ลองนึกดูว่า เพื่อนหญิง ของคุณ ทำงานอะไร มีรสนิยมแบบไหน งานอดิเรกทำอะไร อาจจะทำให้คุณมีไอเดียในการหา ตุ๊กตาหมี ให้กับเธอก็ได้ เช่น เธอเป็น พยาบาล คุณก็อาจจับ ตุ๊กตาหมี แต่งตัวเป็น พยาบาล, หรือเธอชอบเล่น เทนนิส ก็อาจจับ ตุ๊กตาหมี แต่งชุดนักเทนนิส เป็น ของขวัญ ให้เธอ

ขั้นตอนที่หก
ห่อของขวัญ ให้น่าประทับใจ อาจจะใส่ถุงตาข่ายผูก โบว์ พร้อมการ์ดที่เขียนด้วยข้อความเท่ ๆ ก็ได้ มอบให้เธอใน โอกาสพิเศษ หรืออาจจะเซอร์ไพรส์ด้วยการมอบให้ ในการนัดครั้งหน้าก็ไม่เลว

เคล็ดลับและคำเตือน!!
-          ต้องแน่ใจว่า ตุ๊กตาหมี ที่คุณซื้อให้เธอ ต้องไม่ซ้ำ หรือคล้ายกับตัวที่เธอมีอยู่แล้ว ถ้าคุณไม่อยากให้เธอต้องสับสนในภายหลัง ว่า ตุ๊กตาหมี ตัวไหนที่คุณซื้อให้เธอ

  ตุ๊กตาหมี ที่คุณมอบให้เธอ ควรจะสามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเธอ ด้วยเรื่องราวที่ประทับใจของทั้งสองคน เช่น ถ้าเคยไปเที่ยวด้วยกัน แล้ว ถ่ายรูป เก็บไว้ ก็อาจจะซื้อ ตุ๊กตาหมี เป็นคู่แล้วแต่งตัวเลียนแบบชุดที่เคยไปเที่ยวด้วยกัน เพื่อเป็นที่ระลึกในการไปเที่ยวครั้งนั้น เป็นต้น

-          คำเตือนสุดท้าย บางคนอาจจะแพ้ฝุ่นผ้าบางชนิด ซึ่ง ตุ๊กตาหมี มักมีฝุ่นของผ้าที่บางคนอาจจะแพ้ได้ ดังนั้น ควรจะแน่ใจเสียก่อนว่าเธอไม่ได้แพ้ฝุ่นผ้าขนสัตว์ค่ะ




        Tips บอกรักด้วยสีของ ตุ๊กตาหมี

        หมีน้อยแต่ละสีมีบุคลิกเฉพาะตัวของมัน ลองดูซิว่า สีไหนจะเหมาะกับนิสัยของคนที่คุณรักที่สุด!

ตุ๊กตาหมีสีขาว
เป็นหมีที่สุภาพอ่อนโยน รักความสะอาด ใช้ชีวิตเรียบง่าย พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ซื่อสัตย์ รักความสันโดษ ขี้สงสาร

ตุ๊กตาหมีสีชมพู
เป็นหมีสาวโรแมนติก ละเอียดอ่อนจิตใจอ่อนโยน มองโลกในแง่ดี รักสวยรักงาม ทันสมัย ช่างแต่งตัวไม่เคยตกยุค มีคารมคมคายช่างพูดช่างจา เป็นคนมีเสน่ห์และต้องการการเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ

ตุ๊กตาหมีสีแดง

มีความกระตือรือร้น ทะเยอทะยาน รักความก้าวหน้า มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าแสดงออก มั่นใจในตัวเอง ชอบออกงานสังคม และมีเพื่อนเยอะ

ตุ๊กตาหมีสีฟ้า
รักการเดินทาง มีความสดใสน่ารักและร่าเริงอยู่เสมอ เพื่อนฝูงมากมาย เป็นคนที่เข้าใจ และใส่ใจผู้อื่นอยู่เสมอเปิดเผยตรงไปตรงมา มีรักแท้และมั่นคง



ข้อมูลเพิ่มเติมที่ : http://www.fourbears2002.com/index.php?option=com_content&view=article&id=67:--&catid=1&Itemid=34



รู้ไหม? นั่งสมาธิทำให้หน้าเด็กนะ!


10 ข้อ ประโยชน์ที่ได้จากการนั่งสมาธิ (เด็กไทยควรอ่านมากๆ)


    1. ได้รับพลังบุญมาก การนั่งสมาธิถือเป็นบุญใหญ่ ส่งผลช่วยให้เรามีความทุกข์น้อยลงเช่น เมื่อเรามีความทุกข์มากในระดับขั้นที่เราอาจจะต้องร้องไห้ พลังบุญจากการนั่งสมาธิจะช่วยให้เรามีความทุกข์น้อยลงได้ โดยอาจไม่ถึงกับต้องร้องไห้

    2. วาระจิตอยู่ในระดับที่สูงขึ้น สภาวะจิตสูงขึ้น หมายความว่า มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นช่น กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ (ในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรม) มากขึ้น
    
    3. ภาวะผู้นำเพิ่มสูงขึ้น การนั่งสมาธิจะทำให้มีจิตใจหนักแน่นมากขึ้น
   
    4. มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น คือ รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำสิ่งใด
มีความรอบคอบมากขึ้น คิดก่อนทำมากขึ้น ทำงานไม่ผิดพลาด ไม่ประมาท

    5. มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองมาก เจ้ากรรมนายเวรทำอะไรเราไม่ได้หลังจากนั่งสมาธิแล้วให้ถวายบุญกุศลให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เช่น พระพุทธเจ้า หลวงพ่อโสธร หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องคุ้มครองดูแลข้าพเจ้า นำจิตมาไว้ที่ลิ้นปี่ แล้วนึกถวายบุญกุศลแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ท่านจะปกป้องคุ้มครองเราให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ
การงานสิ่งใดที่คิดไม่ออก สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลบันดาลใจให้เราคิดออก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคอยติดตามตัวเราไปทุกหนทาง เพื่อปกป้องคุ้มครองเรา
   
     6. เรียนเก่งขึ้น สามารถเข้าใจการเรียนวิชาต่างๆมากขึ้น เพราะการมีสมาธิที่ดีในการเรียน ทำให้จิตไม่ฟุ้งซ่านคิดเรื่องไร้สาระต่างๆ มีสติปัญญาเฉียบแหลมมากขึ้น ส่งผลให้การเรียนดียิ่งขึ้น
   
     7. มีกระบวนการคิดที่เป็นระบบมากขึ้น สามารถเรียงลำดับการคิดได้อย่างเป็นระเบียบ สิ่งใดมากก่อนหลัง จัดลำดับความสำคัญ ว่าสิ่งใดควรจะทำก่อน สามารถคิดแก้ปัญหาหรือสิ่งต่างๆออกได้โดยใช้เวลาไม่นาน

     8. พูดภาษาต่างประเทศได้ คนที่คิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ภาษาเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน การนั่งสมาธิสามารถช่วยได้ ทำให้เรามีสติ คิดออกได้มากขึ้น มีกระบวนการคิดที่ดีขึ้น รวมถึงการกล้าคิด กล้าพูด จนเราสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้
9. ฝึกขันติบารมี การนั่งสมาธิต้องใช้ความอดทนในเรื่องทุกขเวทนา อาจต้องมีการปวดเมื่อยตามร่างกายบ้าง คันตรงนู้นตรงนี้บ้าง การนั่งสมาธิเป็นการฝึกความอดทนที่ดีเยี่ยม
10. พ้นจากวิบากกรรม กรรมในอดีตชาติ กรรมในปัจจุบันชาติ ย่อมหมุนเวียนเป็นกงกรรมกงเกวียน กลับมาตามสนองเราอยู่เรื่อยไป การนั่งสมาธิสามารถช่วยให้พ้นวิบากกรรมได้ หรือลดวิบากกรรมให้เบาบางลง ทำให้ชีวิตเรามีความทุกข์น้อยลง และมีความสุขมากขึ้น


    TIPS:

    ถ้ารักษาศีล นั่งสมาธิเป็นประจำจะมีผิวพรรณที่สวยสดใส ดูดี ในชาตินี้ได้หรือไม่
ถ้ารักษาศีล : ผิวหน้าผิวกายใส เพราะจิตใจไม่หม่นหมอง ถูกต้องตามปัจจัย "อารมณ์" เพราะผู้รักษาศีลได้ ต้องมี "สติ" พอไม่ผิด ก็สบายใจทั้งวัน
ฮอร์โมน : นั่งสมาธิ Growth Hormone จะงอกออกมา "สารหน้าเด็ก" ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ (GH จะออกมาตอนนอนหลับสนิท 8 ชั่วโมงออกกำลังกายเหนื่อยสุด ๆ อายุยิ่งมาก GH ยิ่งไม่งอก แก่ไวววว)


ข้อมูลจาก :  http://www.mettajetovimuti.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=538832966&Ntype=5
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1364719